มาเรียมผู้นี้มิได้มีสิ่งใดผิดแปลกแตกต่างกับเด็กทั้งหลาย นอกจาก การพูดจาอันติดจะเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย มักรู้การควรพูดไม่ควรพูด มิได้เพ้อเจ้อ.. “ข้าข้องใจตะเมื่อรู้จักชื่อของเจ้าแล้ว ไฉนจึงตั้งชื่อเสียงเรียงนาม ฟังแปลกๆ ข้าเคยได้ยินแต่ว่าเรียม…มาเรียม..ไม่เคยได้ยิน”
“คุณตาของแม่หนูตั้งให้เพคะ เป็นชื่อพันยังพวกแขกตามศาสนา บรรพบุรุษโน้นๆ นั่นแลเพคะ”
“ชื่อยังแขกไปทําไมกันเล่า ชื่อสั้นๆ แต่ว่าเรียมเถิด”
สมเด็จพระพันวษามิได้ทรงเฉลียวพระทัยแม้แต่น้อยนิดว่า อันสตรี ผู้หมอบเฝ้าอยู่ขณะนี้ ต่อไปภายหน้าจักจําเริญอิสริยยศใหญ่ยิ่งกว่าสตรีใด ในแผ่นดิน ยกไว้แต่พระองค์เอง ผู้สถิตในที่สมเด็จพระอัยยิกา
เมื่อเสด็จในกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จจากพระมหามณเฑียร มาเยือนพระราชชนนี ก็ทรงทรุดพระองค์ลงกราบพระราชชนนี ขณะที่พระราชชนนีก็ลุกขึ้นหมอบ กราบพระราชโอรสในเวลาเดียวกัน
แล้วพระราชชนนีจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ขอให้ขุนหลวงทรงพระเจริญเถิด…แม่ก็จักขอเตือนขุนหลวงครั้งนี้ เป็นที่สุดแล้ว…ขึ้นชื่อว่าขุนหลวงพระมหากษัตริย์เป็นเจ้า มิว่าดีมว่าชั่ว พระนามนั้น เขาต้องจดต้องจํากันในภายภาคหน้า หาลืมไม่ หากดี เขาก็ จักยกขึ้นมาสรรเสริญ หากชั่ว เขาก็จักขุดขึ้นมาด่าว่าประจาน ร้อยปีพันปี มิมีลืมเลือน ขอให้ขุนหลวงของแม่จงเป็นประดุจเพชร แม้นจักมีผู้กล่าวโทษ ใดๆ ในภายภาคหน้าก็ยังคงเป็นเพชร มิมัวหมองไปได้”
สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้น สิ้นคําพระราชชนนี ก็ขยับพระองค์ ลงหมอบกราบรับโอวาท
: ศรีฟ้า ลดาวัลย์