ความพยายามในการพัฒนากระบวนการประชาธิปไตยของสเปนช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กินระยะเวลายาวนาน มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ผู้คนในประเทศแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย สถาบันกษัตริย์อัน เป็นสถาบันหลักของประเทศแต่โบราณใกล้ถึงจุดจบ เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์กระทั่งนําไปสู่สงครามกลางเมืองอันป่าเถื่อนและโหดร้ายครั้ง ใหญ่บนแผ่นดินสเปน ซึ่งมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน อาทิ พรรคการเมือง ในแต่ละขั้วต่างหวงแหนและช่วงชิงอำนาจกันอยู่ตลอดเวลา คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง เพิกเฉยต่อปัญหาทุจริตเลือกตั้งและ ระบบผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่น ไม่ยินยอมให้มวลชนเข้ามามีส่วนร่วม ทางการเมือง นอกจากนี้ รัฐบาลก็ยังขาดเสถียรภาพ เปลี่ยนตัวนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีอยู่บ่อยครั้ง การบริหารประเทศล้มเหลว ทั้งดำเนิน นโยบายผิดพลาดในการรับมือกับการเคลื่อนไหวของมวลชน และปล่อย ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นแทบทุกพื้นที่ของประเทศ เป็นต้น
เมื่อการบริหารของรัฐบาลล้มเหลว กองทัพจึงได้เข้าแทรกแซงการเมือง และก่อรัฐประหารโดยอ้างว่าเป็นความถูกต้องชอบธรรม ฝ่าย กองทัพนั้นมองว่าตนเองเป็นผู้พิทักษ์ประเทศชาติ ในขณะที่นักการเมืองอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถนําพาประเทศออกจากวังวนของความขัดแย้ง อีกทั้งกองทัพยังเชื่อว่าการก่อรัฐประหารของพวกตนนั้น ได้รับการหนุนหลังจากกษัตริย์อัลฟอนโซที่ 13 อีกต่างหาก
เมื่อฝ่ายทหารยืดอ้านาจ จึงเกิดข้อครหาจากประชาชนตามมาว่า กษัตริย์อัลฟอนโซที่ 13 ทรงยอมรับรัฐประหารและยินยอมให้นายพล ปรีโม เด ริเบราล้มกฎหมายรัฐธรรมนูญ พระองค์เลือกเผด็จการและไม่สนับสนุนหลักการประชาธิปไตย ซึ่งก่อนหน้าทหารจะก่อรัฐประหาร พระองค์ก็ถูกมองว่าเป็นผู้ขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยอยู่ก่อนแล้ว พระองค์เลือกเผด็จการทหารเพื่อยุติวิกฤตทางการเมือง โดยมองว่าเผด็จการจะมาช่วยปกป้องราชบัลลังก์ของพระองค์ให้ยืนยงต่อไปได้ ซึ่งความเชื่อมั่นนี้ของพระองค์กลายเป็นเหมือนดั่งคมดาบที่พลิกกลับมาเชือดเฉือนความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์จนต้องพบจุดจบในเวลาต่อจากนั้นเพียงไม่นาน….